นาฬิกาสีแดง

สวัสดีครับพี่น้องชาว Red Army Fanclub กระผมนาย BAKI ขอกลับมารายงานตัวบนคอลัมน์ ฟุตบอล ชีวิต มิตรภาพ อีกครั้งหลังจากหายหน้าหายตาไปห้าปีกว่าๆ เนื่องจากเหตุผลการย้ายถิ่นที่อยู่ในมาบ้านนอกที่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่แพร่หลายคู่สายเต็มตลอด ประกอบกับภรรเมียสุดที่รักของผมจัดอินเตอร์เน็ตอยู่ในรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของครอบครัว จนคุณเธอได้รู้จักเฟซบุ้คนั่นล่ะผมเลยได้ติดตามกลับมาท่องเที่ยวในสังคมออนไลน์อีกครั้ง จังหวะแรกก็กะจะปล่อยคอลัมน์ที่รักนี้ไปให้คนรุ่นใหม่ไฟแรงละเลงกันเอง เพราะผมมันหลังเขาตามยุคตามสมัยแทบจะไม่ทัน แต่ครั้นนายปอ เดอะ เว็บมาสเตอร์ปรารภว่าจะหมดไฟกับคอลัมน์นี้แล้วก็เลยขออนุญาตกลับมาอีกครั้ง หวังว่าพี่น้องคนให้โอกาสผมได้รับใช้นะครับ
เรื่องแรกที่ผมขอละเลงมันไม่ได้เกี่ยวกับผองผีแดงเราโดยตรง แต่ในเมื่อผองเพื่อนที่น่ารำคาญในบางลีลาอย่างลิเวอร์พูลเขากลับมาพล่ามรำพันกับผู้จัดการใหม่หน้าเก่า “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช ว่าจะทำให้หงส์แดงกลับมายิ่งใหญ่อย่างโน้นอย่างนี้สร้างความอิดหนาระอาใจให้กับเพื่อนร่วมโลกที่ต้องฟังพวกท่านๆ โม้แหลกแหกชิมิอยู่ทุกวัน ผมก็เลยขอแจมเสียหนึ่งดอกเผื่อจะได้ไม่ตกเทรนด์

ผมเชื่อว่าเด็กผีหน้าใหม่ๆ หลายคนอาจไม่รู้จักว่านายคนที่ชื่อเคนนี่ ดัลกลิชนี่ยิ่งใหญ่มาจากไหน ทำไมเด็กหงส์ถึงได้เรียกหาให้มาเป็นผู้จัดการทีมตั้งแต่ปลดบอสหนวด ราฟา เบนิเตซ อันนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับเพราะดัลกลิชยิ่งใหญ่กับลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 1977 ในฐานะกองหน้าจอมเทคนิค โดยยกระดับตัวเองเป็นผู้เล่นผู้จัดการทีมในปี 1985 และลาออกในปี 1991 เดือนกุมภาพันธ์ นั่นก็คือเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งผองผีเพื่อนพ้องน้องพี่บางคนยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกในเลยว่าทำไมฝูงนกกระเด้าลมผู้จมอยู่ในอดีตถึงได้ดี๊ด๊านัก เพราะเคนนี่ ดัลกลิช ก็คือเรื่องเก่าๆ ขุดกรุ ประมาณเดียวกับแชมป์ดิวิชั่นสูงสุด 18 สมัยมากสุดตลอดกาล ที่พวกเขาเอามาโม้ได้น้ำลายแตกฟอง โดยไม่ได้สังวรณ์เลยว่าจำนวนโทรฟี่พรีเมียร์ชิพที่แอนฟิลด์ ยังเป็นศูนย์นั่นล่ะ (ขออนุญาตถอนหายใจปลงอนิจจัง)
สถิติความเก่งกล้าสามารถของคิงเคนนี่ทั้งหลายสามารถหาได้จากทุกสื่อที่เด็กหงส์มีส่วนร่วม เพราะพวกเขาถนัดเรื่องการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อยู่แล้ว และเด็กผีเราคงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ด้วย ผมจึงขอข้ามไป แต่ก็ยังมีผลงานดีเด่นของดัลกลิชที่น่าภาคภูมิใจสำหรับเด็กหงส์คือการที่เขาคุมทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้แชมป์พรีเมียร์ชิพในฤดูกาล 1994/95 โดยปาดหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 คะแนน และในเกมตัดสินแชมป์ครั้งนั้นเราทำได้แค่เสมอเวสต์แฮม นั่นทำให้เดอะ ค็อปหลายคนทึกทักว่าเป็นชัยชนะของตนด้วย เช่นเดียวกับที่บอกว่าเป็นแชมป์โลกเพราะมีตอร์เรส และเรน่าในทีมชาติสเปนนั่นล่ะ (ขากกกกก …)
ประเด็นสำคัญในเกมนั้นคือแบล็คเบิร์นของดัลกลิชโคจรมาพบกับลิเวอร์พูลทีมเก่าน่ะสิ และหงส์แดงก็สามารถชนะไปได้ 2-1 … ชัยชนะของหงส์แดง และแชมป์ของเด็กหงส์ที่แอนฟิลด์ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่โคตรๆ ทว่าความจริงที่ซ่อนไว้คือ ประตูชัยของลิเวอร์พูลมันเกิดขึ้นตอนทดเวลาเจ็บหลังจากที่ครบ 90 นาทีแล้วเสมอกันอยู่ 1-1 จนเจมี่ เรดแนปป์ปั่นฟรีคิกเข้าไปนั่นล่ะ มันเป็นอะไรที่ดราม่าสุดๆ แล้ว ทำให้พวกท่านๆ ทั้งหลายเอามาคุยไม่รู้จักจบว่าตัวเองเป็นทีมที่มีสปิริตสูงส่ง ไม่มีซูเอี๋ย ฟอดๆๆๆ ฯลฯ (ถุยยยยยส์)

ถึงจะรำคาญแต่ก็ต้องยอมรับว่าของเขาแรงจริงๆ
กลับมาที่ปัจจุบัน ซึ่งบรรดาเดอะ ค็อปคุยขรมว่าฤดูกาลหน้าลิเวอร์พูลมาแน่ ถึงขนาดเตรียมทลายรังแมงมุมยักษ์กำจัดหยากไย่พันปีในตู้เก็บโทรฟี่แชมป์ลีกในประเทศที่ไม่รู้ว่าลูกกุญแจไขตู้จะยังใช้การได้อยู่หรือเปล่า เพราะสนิมมันจับเกรอะ นั่นแสดงว่าพลพรรคหงส์แดงเชื่อมั่นในคิงเคนนี่ของพวกเขาอย่างแรง โดยที่อาจลืมไปว่าดัลกลิชรับตำแหน่งด้วยสัญญาระยะสั้นถึงแค่จบซีซั่นนี้เท่านั้น แต่ก็เถอะเอกลักษณ์ของเด็กหงส์ย่อมไม่พ้นเรื่องขี้โม้คุยโวโอ้อวดโดยมองข้ามความจริงบางประการไป มองในแง่ดีคือพวกเขาดำรงอยู่ได้ด้วยความฝันและความหวัง … ลมๆ แล้งๆ
กระนั้นผองเราชาวปีศาจแดงพึงระลึกไว้ว่าคิง เคนนี่สามารถขับเคลื่อนลิเวอร์พูลได้มากกว่าที่คุณคิด!!!
ว่ากันว่าชัยชนะในเกมฟุตบอลมาจากจิตใจมากกว่าเทคนิค อย่างที่น้องใหม่ไร้สตาร์อย่างแบล็คพูลแสดงให้เห็นด้วยการกระทืบทีมมากศักดินาทีมหนึ่งแบบไปกลับ แล้วถ้าจิตใจที่ฮึกเหิมถูกเติมเต็มให้ทีมที่อุดมด้วยซุป’ตาร์ล่ะ?
นั่นคือสิ่งที่ดัลกลิชสามารถเติมเต็มให้ทีมได้ในเรื่องของสปิริตความเป็นหงส์แดงซึ่งผมถือว่าน่ากลัวมาก เพราะเขา คือตำนาน คือผลผลิตหนึ่งของบูทรูมสต๊าฟอันลือลั่น เกียรติยศความภาคภูมิเต็มเปี่ยมพร้อมจะถ่ายทอดให้พ่อค้าแข้งร้อยพ่อพันแม่ให้หลอมรวมความเป็นเดอะ ค็อปเข้าในสายเลือดแบบเข้มข้นสุดๆ ไม่ใช่ว่ากลัวมันจะเก่งขึ้นมากมายหรอกครับ แต่ผมกลัวจะมีนักเตะพูดมากเพ้อเจ้ออย่างเจมี่ คาร์ราเกอร์ เจอร์ราร์ด ตอร์เรส หรือน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์อย่างเจ้าไรอัน บาเบิลเพิ่มขึ้นต่างหาก
นอกจากสภาพจิตใจแล้วเคนนี่ ดัลกลิชยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความกล้าที่จะส่งเด็กอย่างเจ้าหนูเคลลี่ลงตำแหน่งแบ็คขวาตัวจริงและโยกเกล็น จอห์นสัน ไปอุดแบ็คซ้ายซึ่งเป็นจุดอ่อนของทีมมาตลอด (จริงๆ มันก็อ่อนทั้งซ้าย และขวานั่นล่ะ) นอกจากนั้นเขายังส่งโล้นเชฟวี่มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรงลงเล่นในยามที่ทีมต้องการสกอร์ ผลก็คือลิเวอร์พูลผลิตสกอร์ได้ทันทีอีกหนึ่ง … หนึ่งแต้มจากสามเกมด้วยความภาคภูมิใจว่าจุดโทษตีเสมอเอฟเวอร์ตันไม่ได้ไปซื้อกรรมการมาเหมือนบางทีม และนั่นก็คือสิ่งที่เดอะ ค็อปพูดพล่ามให้รำคาญหูตลอดสัปดาห์นี้

สำหรับผมแล้วคิง เคนนี่คืออีกหนึ่งกุนซือผู้มากด้วยบารมี และคลิ้กได้ลงตัวกับบรรดาเดอะ ค็อปผู้แสวงหาสิ่งใหม่ๆ เสมอทั้งเจ้าของสโมสรใหม่ ผู้จัดการทีมใหม่ นักเตะใหม่ ที่ผมว่าลงตัวก็เพราะดัลกลิชคือหนึ่งในสุดยอดนักช็อปแห่งวงการลูกหนัง เขาสร้างความสำเร็จให้ลิเวอร์พูลด้วยการซื้อปีเตอร์ เบียดลี่ย์, จอห์น อัลดริดจ์, จอห์น บาร์นส์ และอื่นๆ ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์มากมาย ตอนอยู่แบล็คเบิร์นก็มีบารมีจัดจ้านขนาดลากเชียเรอร์, ซัตตัน, แบ็ตตี้ และทิม ฟลาวเวอร์สเข้ากอกุหลาบได้ เพราะฉะนั้นสาวกหงส์แดงทั้งหลายจึงหมายมั่นว่าคิงของพวกเขาจะดูดบิ๊กเนมเข้าแอนฟิลด์ได้ในเดือนมกราคมนี้ ด้วยเจ้าของใหม่ประกาศทุ่มไม่อั้น … ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าฟาล์วซะทุกหัวพวกท่านจะแก้ตัวเยี่ยงไร
เข็มนาฬิกาที่หยุดนิ่งพร้อมกับจำนวนโทรฟี่ลีกสูงสุดเมื่อเคนนี่ ดัลกลิช ก้าวเท้าออกจากแอนฟิลด์จะเริ่มหมุนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งหรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าความเชื่อมั่นที่เดอะ ค็อปมอบให้ “คิง” ที่เขารักและเทิดทูนที่สุดจะให้ผลตอบแทนอย่างไร แต่ผมขอสะกิดเบาๆ ว่า “รักมากก็เจ็บมากนะครับ เหอ เหอ”
BAKI

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts